ทิวทัศน์ท่ามกลางม่านหมอกและขุนเขา

ซาปา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศ เวียดนาม มีพื้นที่เกือบจะเข้าใกล้เส้นชายแดนของประเทศจีน ถ้าวัดระยะห่างจาก กรุงฮานอย จะอยู่ราวๆ 350 กิโลเมตร บรรยากาศของที่นี่สวย วิวดี อากาศก็เย็นสบาย เพราะเป็นพื้นที่อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 1,650 เมตร ไม่ต้องห่วงว่ามาเดือนไหนแล้วจะร้อน เพราะที่นี่อากาศเย็นทั้งปีอยู่แล้ว ทัศนียภาพของตัวเมืองรายล้อมไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อน ช่วงเช้าๆ จะได้เห็นเมฆหมอกลอยตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ยอดเขา นี่แหละที่เป็นช่วงโรแมนติกอยากให้คู่รักได้ตื่นมาชื่นชมด้วยตาตัวเอง

อัศจรรย์แห่งความสวยงามผสมผสานไปกับความโรแมนติก

อากาศที่หนาวเย็น ยังเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชบางชนิดที่เป็นไม้ผลเมืองหนาวได้อย่างดีเยี่ยม ที่น่าทึ่งและสวยงาม มองเห็นเป็นวิวกว้างใหญ่ดูน่าอัศจรรย์ของที่นี่ ก็เห็นจะเป็นนาขั้นบันได สีเขียวสดของผืนนาที่รายล้อมด้วยความลาดชันบริเวณไหล่เขา เนินแล้วเนินเล่าที่สวยงามราวกับดินแดนในภาพวาด เอกลักษณ์อันเฉพาะตัว ทำให้ซาปากลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักเดินทางเข้ามาเที่ยวชมกันอย่างคึกคัก แบบไม่ต้องป่าวประกาศ แต่ปากต่อปากที่พูดถึงจากคนที่เคยมาแล้วนำไปบอกเล่าต่อ ก็เพียงพอที่จะทำให้ซาปามีชื่อเสียงแพร่กระจายในระยะเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนามเลยทีเดียว

หมู่บ้านแห่งซาปา ความสุขแบบฉบับเรียบง่าย

ที่นี่ไม่ได้มีแค่ธรรมชาติ ซาปา แวดล้อมไปด้วยหมู่บ้านขนาดเล็ก เรียบง่าย แต่ดูน่าค้นหา อย่างหมู่บ้านกัตกัต ที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองซาปาเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ ตั้งรกรากกันมาช้านาน ชาวบ้านเป็นชาวเผ่าม้งที่มาจากประเทศจีน มีการแต่งกายในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง ด้วยลักษณะเสื้อผ้าโทนสีน้ำเงินเข้ม หรือดำ บ้านเรือนที่นี่ดูน่าอิจฉาเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับชาวเมืองคอนกรีตแบบเราๆ เพราะแต่ละหลังล้วนอยู่ท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติ มองเห็นนาขั้นบันไดและทิวเขาที่รายล้อม

ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เรียกกันว่าหมู่บ้านต่าฟาน อยู่ไกลจากซาปาไปราว 10 กิโลเมตร มีเทือกเขาที่ชื่อว่าฟาสีปันเป็นฉากตั้งตระหง่านเป็นกำแพงอยู่ด้านหลัง

ที่นี่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างชาวเขาหลายเผ่ามาอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะมีเผ่า Giay ที่มีประชากรมากที่สุดในหมู่บ้าน ที่นี่ไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดซ้ำๆ กันเหมือนหมู่บ้านแรก แต่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความหลากหลายของเครื่องแต่งกาย ที่มาจากการผสมผสานของแต่ละวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ไม่เพียงเท่านี้ ชาวบ้านยังมีการใช้ภาษาประจำเผ่าของตัวเอง

นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้าน ซึ่งต่างก็อยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย แต่พวกเขากลับดูมีความสุขอย่างเหลือล้น พร้อมมิตรไมตรีและรอยยิ้มที่เหล่านักเดินทางทั้งหลายจะได้มาค้นหาคำตอบกันที่ดินแดนอันสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้ด้วยตัวเอง