วันที่ 1 | กรุงเทพฯ - เดลี |
---|---|
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 1 | |
17.00 น. | คณะเดินทางพร้อมกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 6 – 7 แถว P เคาน์เตอร์ สายการบิน JET AIRWAYS พิเศษ!! บริการอาหารว่างขนมปังแสนอร่อยจากร้านดังย่านนวมินทร์ + น้ำดื่ม 1 ขวดเล็กค่ะ (แนะนำให้โหลดของที่ไม่จำเป็นลงใต้ท้องเครื่อง เพราะเจ้าหน้าที่อินเดียตรวจค่อนข้างละเอียด เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา แนะนำให้ถือเฉพาะกระเป๋าถือและของมีค่าขึ้นเครื่องเท่านั้นบนเครื่องมีบริการอาหารค่ะ) |
20.10 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองเดลลี โดยสายการบิน JET AIRWAYS เที่ยวบินที่ 9W 63 |
23.15 น. | ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี เมืองเดลลี หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระเรียบร้อย |
วันที่ 2 | เมืองเดลี - เมืองเลห์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 2 | |
05.40 น. | เดินทางสู่ เมืองเลห์ ศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่ง เมืองลาดัคห์ เมืองท่องเที่ยวสำคัญใน แคว้นจัมมูแคชเมียร์ โดยสายการบิน JET AIRWAYS เที่ยวบินที่ 9W 2368 |
07.05 น. | ถึง สนามบินเมืองเลห์ เป็นเมืองที่สูง 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ตัวเมืองมีวัฒนธรรมของชาวธิเบตให้ได้สัมผัสเปรียบเสมือนท่านกำลังอยู่ในประเทศธิเบต เดินทางสู่ที่พักเพื่อพักผ่อนและปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับภูมิอากาศเสียก่อน แล้วช่วงบ่ายค่อยเริ่มเที่ยวกันค่ะ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม |
บ่าย | ชม พระราชวังเลห์ สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1630 โดยกษัตริย์เซงเจ นัมเยล ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นกลางเมืองเลห์ สูง 9 ชั้น มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายกับพระราชวังโปตาลาในธิเบต เดินชมความงดงามเมืองเลห์ ชม เจดีย์สันติภาพ สร้างโดยพระลามะชาวญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ. 1985 เป็นอนุสรณ์สถานแห่งการระลึกถึง พระพุทธศาสนาอายุครบ 2500 ปี และเป็นจุดชมวิวตัวเมืองเลห์ และพระราชวังเลห์ได้อย่างสวยงาม ชม วัดเซโม เป็นวัดที่สร้างใน ค.ศ. 1430 โดยกษัตริย์ ตาชิ นัมเยล ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสูงขนาดใหญ่สูงประมาณตึก 3 ชั้น และพระคัมภีร์เก่าแก่ เหนือตัววัดเป็นป้อมปราการเมืองเก่า และสามารถชมวิวเมืองเลห์ได้งดงาม |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม |
พักที่ | HOLIDAY LADAKH HOTEL ระดับ 4 ดาว พื้นเมืองค่ะสะอาดปลอดภัย หรือใกล้เคียง |
วันที่ 3 | เมืองเลห์ - วัดลามะยูรู - หมู่บ้านอัลชิ - เมืองเลห์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 3 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ในระหว่างทางจะพาท่านแวะจอดถ่ายรูป ที่ จุดชมวิวซางกัม เป็นจุดที่แม่น้ำสองสายบรรจบกัน โดยแม่น้ำสินธุ สายหลักมีสีใสกว่า ในขณะที่แม่น้ำซันสการ์ มีสีโคลนขุ่นสีน้ำตาล ก่อนที่จะไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวต่อไปเป็นแม่น้ำสินธุ ที่เมืองนิมู MAGNETIC HILL ที่ซึ่งแปลความได้ว่าบริเวณนี้มีเขาที่มีแรงแม่เหล็กอย่างแรงกล้าสามารถดึงดูดรถที่จอดนิ่งให้แล่นขึ้นเขาไปได้ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นอารยธรรมในยุคสำริด (ประมาณ 2500 - 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน ถือเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก ซึ่งนักโบราณคดีเรียกว่ายุคฮารัปปัน วัฒนธรรมเก่าสุดเริ่มจากเมืองอัมรี (Amri) บริเวณปากแม่น้ำสินธุ อายุ 4,000 B.C. พบเครื่องปั้นดินเผาระบายสี คล้ายของเมโสโปเตเมียเมืองฮารับปา และโมเหนโจ –ดาโร อายุ 2,600 – 1,900 B.C.เมืองชุคาร์ และจันหุดาโร อายุ 1,000 – 500 B.C. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีเมืองสำคัญที่ได้รับการขุดค้นแล้ว 2 แห่ง คือ เมืองฮารับปา และโมเหนโจ – ดาโร ทั้งสองเมืองมีอารยธรรมที่เหมือนกันทุกประการ แม้ห่างกัน 350 ไมล์(600 กิโลเมตร) จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออกอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุถูกโจมตีอย่างรุนแรง พบโครงกระดูกถูกฆ่าตายจำนวนมาก หรืออาจล่มสลายเพราะภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือโรคระบาด หรือเพราะความมั่งคั่งชาวอารยันผู้รุกราน ค่อยๆแพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออก และลงไปทางใต้อย่างช้าๆ ลงไปยังดินแดนคาบสมุทรเดคข่าน (ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมหินใหม่อยู่) นำเอาทองแดง และเหล็กไปเผยแพร่ ทางใต้จึงเปลี่ยนจากหินใหม่เป็นโลหะทันทีเมื่ออารยันตั้งหลักแหล่งในประเทศอินเดียแล้ว จึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์อินเดียอย่างแท้จริง |
เที่ยง | เดินทางถึง ลามายูรู รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพื้นเมือง เนื่องด้วยห่างไกลจากตัวเมืองดังนั้นอาหารเป็นแบบพื้นเมือง |
บ่าย | หลังทานอาหารเสร็จก็เที่ยวชม วัดลามะยูรู ตั้งอยู่บนยอดเขาหินทรายของภูมิประเทศแบบพื้นผิวดวงจันทร์ ลามะยูรูจึงเป็นสถานที่แปลกแยก แปลกตา และลึกที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่จะหาได้ในหลังคาโลกนี้ วัดลามะยูรู มีอีกชื่อหนึ่งว่า ยุงตรุง ทาปาลิง กอมปา (ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระอรหันต์นิมากุง จารึกผ่านมาถึงที่นี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน บริเวณนี้เคยเป็นทะเลสาบอยู่ท่านทำนายว่าจะมีวัดมาเจริญศาสนา ณ สถานที่นี้ท่านจึงได้ตั้งเสาธงมนตราไว้เป็นหมุดหมายสำคัญพร้อมกับแผ่กุศลทานด้วยการโปรยเมล็ดข้าวโพดแด่ดวงวิญญาณของนาคที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบ ต่อมาเมล็ดข้าวโพดกลับงอกงามขึ้นเป็นรูปเครื่องหมาย สวัสติกะ จากนั้นเมื่อท่านริมโปเช ซังโป ( Rinchen-zang-po ) พาลามะจากอาณาจักรกูเก ( Guge Kingdom ) ของทิเบตตะวันตก มาสร้างวัดตามคำทำนาย จึงตั้งชื่อ วัดในนาม ยุงตรุง ซึ่งในภาษาทิเบตหมายถึง สวัสติกานั้นเอง และยังเชื่อกันอีกว่า ช่วงหนึ่งท่านมหาสิทธานาโรปะได้เคยมาบำเพ็ญศีลอยู่ที่นี้ด้วย ภายในเขตสังฆดินแดนของลามะยูรู เมื่อแรกสัมผัสจะรู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ของอารามที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ผนังวัดที่ก่อด้วยอิฐโคลนตากแห้ง ผนังฉาบโคลน พื้นดินเหนียว มีเสาเป็นไม้ทาสีแดงประดับลวดลายแกะสลักวิจิตร เรือนหลังคามีเพียงคานไม้รับน้ำหนักกระเบื้องไว้ เหล่านี้แม้ผ่านเวลามาเนิ่นนาน ก็ยังดูแข็งแรง ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองเลห์ ระหว่างทางเราจะแวะถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ เช่นบริเวณโลกพระจันทร์ เดินทางไปยัง หมู่บ้านอัลชิ ซึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำสินธุไปอีกฝั่งหนึ่ง อัลชิเป็นหมู่บ้านเล็กๆสงบเงียบหากไปเยือนก่อนหน้าที่ฤดูการเก็บเกี่ยวจะสิ้นสุดลง (ประมาณต้นเดือนสิงหาคม) ก็ยังจะเห็นทุ่งข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทองอร่ามและลอมฟางเล็กๆเต็มท้องทุ่ง อัลชิ เป็นหมู่บ้านของผู้คนเชื้อสายทิเบตโบราณเช่นเดียวกับชุมชนเก่าแก่ทั่วไปในเขตลาดักห์ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนน้ำจากหิมะละลายเข้าสู่พื้นที่เขตโอเอซิสอย่างพอเหมาะทำให้หุบเขาเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางเกษตรมากที่สุดแห่งหนึ่งในลาดักห์ ชาวบ้านจึงไม่ว่างเว้นจากงานในสวน ในไร่ พืชพรรณที่หลากหลาย อาทิ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ผัก แอปปริคอท และแอปเปิ้ลที่มีมากและลำต้นของมันใหญ่โตจนหลายคนขนานนามให้ที่เป็น หุบเขาแอปเปิ้ล เที่ยวชม วัดอัลชิ เป็นวัดเดียวในแถบนี้ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนภูเขา แต่สร้างอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มในหุบเขา จึงไม่ต้องเหนื่อยเดินขึ้นเขาเหมือนวัดอื่นๆ ตามประวัติวัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1020-1035 ความเก่าแก่ของวัดสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจากศิลปกรรมการแกะสลักไม้ทั้งภายในและภายนอกตัวอาคาร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม |
พักที่ | HOLIDAY LADAKH HOTEL ระดับ 4 ดาว พื้นเมืองค่ะสะอาดปลอดภัย หรือใกล้เคียง |
วันที่ 4 | เลห์ - นูบราวัลเลย์ - ขี่อูฐ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 4 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางสู่ หุบเขานูบรา ใช้เวลาเดินทาง 4 – 5 ชั่วโมง ระหว่างทางสัมผัสความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาคาราโครัมและเทือกเขาหิมาลัยที่โอบล้อมเมืองลาดัคห์ ทิวทัศน์สองข้างทางเปรียบดั่งแดนสวรรค์ไม่สามารถสรรค์หาได้จากที่ใดบนโลกนี้ ระหว่างเส้นทางได้ผ่านสัมผัสกับเส้นทางรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก คือ สูง 5606 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล Khardungla Pass จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาคาราโครัมในประเทศปากีสถานได้ค่ะ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพื้นเมือง |
บ่าย | ออกเดินทางต่อ ไปยังหุบเขานูบรา หรือ หุบเขาแห่งดอกไม้ ทางเหนือของเมืองเลย์ ชมดอกไม้นานาพันธุ์ เช่นดอกแอปเปิ้ล สวนแอปริคอต และนกนานาชนิด เส้นทางนี้เป็นเส้นลางลัดเลาะหุบเขา ชมเส้นทางอันงดงามสองข้างทางทิวทัศน์ภูเขาสลับกับสายน้ำอันเย็นฉ่ำ เที่ยวชม หมู่บ้านดิสกิต เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดในแถบนี้ และเที่ยวชม หมู่บ้านฮุนเดอร์ เป็นหมู่บ้านที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใบหนาเพราะอยู่ในหุบเขาเล็กๆขนาดกะทัดรัดเหมาะแก่การเดินเล่นไปรอบๆหมู่บ้านเส้นทาง 7 กม. ระหว่างดิสกิตกับฮุนเดอร์ นั้นนักท่องเที่ยวบางคนอยากสัมผัสการเดินแบบ Baby Trek ก็เลือกที่จะเดินผ่านเนินทรายขาวละเอียดอันเป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไม่เหมือนทะเลทรายที่ไหนเพราะเมื่อมองไปจนสุดสายตาก็จะเป็นทิวเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะเป็นหมวกสีขาวเป็นฉากหลัง และมีต้นไม้ที่ชื่อว่าต้น Sea-buckthorn Berry ลักษณะเป็นไม้พุ่มหนามผลัดใบ มีผลสีส้มเล็กๆ ขนาด 6-9 มิลิเมตร ที่ออกในฤดูร้อน นำไปใช้ประโยชน์ทั้งกินสดๆ เอาไปทำแยม ไพน์ น้ำผลไม้ เหล้า และโลชั่นบำรุงผิว และสัตว์ในทะเลทรายยังชอบผลไม้ชนิดนี้มาก และนอกจากนี้เรายังสามารถ ขี่อูฐ ท่องทะเลทราย โดยอูฐหนึ่งตัวนั่งได้หนึ่งคน เจ้าอูฐชนิดนี้เป็นอูฐสองหนอก ซึ่งต่างกับอูฐอียิปต์ ที่มีหนอกเดียว |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม |
พักที่ | โรงแรมพื้นเมือง SAND DUNE GUEST HOUSE หรือ OLTHANG HOTEL DESKIT ที่นูบร้าวัลเลย์เป็นเมืองเล็กๆ โรงแรมอาจมีไม่มากนะเมื่อเทียบกับในเมืองเลห์ หรือใกล้เคียง |
วันที่ 5 | นูบราวัลเลย์ เลห์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 5 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ชม วัดดิสกิต ตั้งอยู่บนเนินเขาเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากค่ะ เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบรา ภายในประดิษฐานพระศรีอาริยเมตไตขนาดใหญ่มาก ถึงลานจอดรถหน้าวัด จะต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 20 รูปี เสียก่อน จากนั้นเดินขึ้นบันได ผ่านกุฏิพระไปยังตัววิหาร มีห้องที่เปิดให้เข้าชม 3 ห้องด้วยกัน โดยมีพระที่เข้าเวรคอยไขกุญแจแต่ละห้องให้ ห้องโถงโล่งกว้างห้องแรกเป็นห้องสวดมนต์หรือทำวัตรของคณะสงฆ์ มีหน้าต่างตลอดแนวความยาวของห้องทำให้ดูสว่างไสวสะอาดตา ห้องถัดไปค่อนข้างเล็กและมืด เป็นห้องประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆและรูปปั้นของพระสงฆ์องค์สำคัญ และเป็นที่เก็บคัมภีร์โบราณด้วย ห้องที่สามค่อนข้างแปลกตาเพราะรูปปั้นของเทพต่างๆ ล้วนถูกคลุมพระพักตร์ด้วยผ้าไหมแพรพรรณอย่างดี ซึ่งทางวัดจะปลดผ้านี้ออกในช่วงเทศกาล Dosmoche ( ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมของทุกปี) เท่านั้น นอกจากความอลังการภายในวัดแล้ว เมื่อมองจากบนวัดกลับลงมายังหมู่บ้านดิสกิต ไกลออกไปก็จะเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของเทือกเขาใหญ่ แม่น้ำ หมู่ไม้สีเขียวของทิวต้นสน ต้นวิลโล่ และต้นป๊อปล่า ที่ให้ร่มเงา จากยอดเนินบนวัด มองลงมา จะเห็นทิวทัศน์หมู่บ้านดิสกิตโดยรวมทั้งหมด ไกลออกไปทางซ้ายมือคือเส้นทางไปสู่ หมู่บ้าน ฮุนเดอร์ ถ้าทัศนวิสัยดีๆจะสามารถมองเห็นเนินทราย Sand Dunes ระหว่างทางจากดิสกิตไปฮุนเดอร์ได้ด้วย วัดดิสกิต Diskit Gompa โดดเด่นสะดุดตาได้แต่ไกลเพราะทำเลที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา เป็นวัดเก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเขตหุบเขานูบรานี้ สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1420 ปัจจุบันมีพระสงฆ์ 120 รูป โดยมีท่านเจ้าอาวาสคือท่านลามะ นาวาง จามปา สแตนซิน ผู้ซึ่งถือว่าได้กลับชาติมาเกิดในตำแหน่งนี้เป็นครั้งที่ 9 ก่อนตามความเชื่อของชาวลาดักห์ ส่วนตัวอารามนี้ตั้งอยู่บนเขาสูง |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพื้นเมือง |
บ่าย | นำท่าน เดินทางกลับเมืองเลห์ เมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัย โดยใช้เส้นทางเดิมผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลก ใช้เวลาเดินทาง 5 – 6 ชั่วโมง เลือกซื้อสินค้าที่ตลาดเลห์ สัมผัสน้ำจิตน้ำใจที่น่ารักของผู้คนท้องถิ่นชาวธิเบตผู้มั่นคงในศรัทธา |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม |
พักที่ | HOLIDAY LADAKH HOTEL ระดับ 4 ดาว พื้นเมืองค่ะสะอาดปลอดภัย หรือใกล้เคียง |
วันที่ 6 | เมืองเลห์ - ทะเลสาบพันกอง |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 6 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ออกเดินทางโดย สู่ ทะเลสาบพันกอง โดยผ่าน ชางลา เส้นทางรถยนต์ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกสูง 17,350 ฟุต แดนสวรรค์อยู่แค่เอื้อมมือ ชม วัดธิคเซย์ สร้างในปี ค.ศ. 1430 ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขาทางตอนเหนือของแม่น้ำอินดัส อยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของเลห์ 18 กิโลเมตร ถือว่าเป็นวัดที่สวยที่สุดของลาดัคห์เป็นวัดของนิกายเกลุคปา ภายในประดิษฐานพระศรีอารยะเมตไตรย์ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน แบบปิกนิก ระหว่างทาง |
บ่าย | ชมความงามของ ทะเลสาบพันกอง ซึ่งมีความยาวถึง 40 ไมล์ และกว้าง 2 – 4 ไมล์ เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงสุดในโลกคือ มีความสูงถึง 14,256 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชม ความงามของทะเลสาบที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีสันที่งดงามมาก โดยเฉพาะในช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในช่วงเช้าจะมีสีที่อ่อนกว่า และพื้นที่ 75% ของทะเลสาบอยู่ในดินแดนทิเบต อีก 25% อยู่ในเขตของประเทศอินเดีย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่เต้นท์ |
พักที่ | เต้นท์ ที่ทะเลสาบพันกอง |
วันที่ 7 | ทะเลสาบพันกอง เมืองเลห์ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 7 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่เต้นท์ ทะเลสาบพันกอง เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 2 ประเทศ คือจีน (ทิเบต) 75% และอินเดีย 25% ถือว่าเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม (Salt lake) ที่อยู่สูงที่สุดในโลก คือ 4,267 ม.มีความยาว 40 ไมล์และกว้าง 2-4 ไมล์ ในวันที่ท้องฟ้าสดใส ทะเลสาบจะมีเขียวอมฟ้าหรือสีเทอร์คอยซ์โดยมีภูเขาหิมะสีขาวเป็นฉากหลังงดงามมาก ปล่อยให้ท่านได้ดื่มด่ำกับความงดงามของทะเลสาบและธรรมชาติรอบๆพร้อมกับถ่ายรูปเก็บภาพประทับใจให้เต็มที่ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวันที่เต้นท์ |
บ่าย | เดินทางกลับสู่ เมืองเลห์ ระว่างทางแวะชม พระราชวังเชย์ สร้างโดยกษัตริย์ เดลดาล นัมเยล เมื่อต้นศตวรรษที่17 เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เป็นพระบิดาเซงเจ นัมเยล กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดงสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งลาดัคห์ ภายในมีรูปปั้นของพระศรีศากยมุณีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ชมพิพิธภัณฑ์ สตอคพาเลส เป็นที่ประทับของราชวงศ์ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1825 ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมและสะสมของใช้เครื่องแต่งกายของราชวงศ์เช่นมงกุฎ พระภูษา รองพระบาท |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม |
พักที่ | HOLIDAY LADAKH HOTEL ระดับ 4 ดาว พื้นเมืองค่ะสะอาดปลอดภัย หรือใกล้เคียง |
วันที่ 8 | เมืองเดลลี กรุงเทพฯ |
รายละเอียดการเดินทาง วันที่ 8 | |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เดินทางสู่ สนามบินเมืองเลห์ |
08.20 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองเดลลี โดยสายการบิน JET AIRWAYS เที่ยวบินที่ 9W 2367 |
09.45 น. | เดินทางถึง เมืองเดลลี เปลี่ยนเครื่อง |
14.00 น. | ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน JET AIRWAYS เที่ยวบินที่ 9W 66 |
19.45 น. | ถึง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ |
Address
240/26 (A Tower) Ayothaya Building 16th Floor, Ratchadapisek Soi 18, Huay Kwang, BKK 10320
จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.
Contact Us
Hotline : 081-873-6566, 099-191-9288
Social Network
Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel