ทัวร์อินเดีย แสวงบุญอินเดีย เนปาล อชันตา เอลโลร่า เที่ยวอินเดีย

ค้นหาโปรแกรมทัวร์

DE414 : โปรแกรมทัวร์อินเดีย แสวงบุญอินเดีย เนปาล อชันตา เอลโลร่า 12 วัน 10 คืน (AI)

DE414 : โปรแกรมทัวร์อินเดีย แสวงบุญอินเดีย เนปาล อชันตา เอลโลร่า 12 วัน 10 คืน (AI)
AIR INDIAN (AI)

Grape Wine Hotel Varanasi
Hotel Anand International
HOTEL NEW CYSTAL
Hotel Om Residency star
Hotel Patliputra Continental
Hotel Vits
THE LOTUS SUTRA HOTEL
TULIP INN LUCKNOW
WelcomHotel Dwarka

ไฮไลท์โปรแกรมที่ไม่ควรพลาด สถานที่สำคัญต่างๆของพุทธศาสนา ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป...
ลุมพินี... สถานที่ประสูติของพระสิทธัตถะราชกุมาร จุดแรกของการกำเนิดผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก  
พุทธคยา... สถานที่ตรัสรู้ จุดกำเนิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สะดือโลก
สารนาถ... ดินแดนกำเนิดพระสงฆ์องค์แรกในพุทธศาสนา จุดปฐมเทศนาครั้งแรกของชาวพุทธ  
กุสินารา.... นครแห่งมหาปรินิพพาน ที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ที่แจกพระบรมสารีริกธาตุ  
ไวสาลี... เมืองหลวงของอาณาจักรวัชชี เมืองแห่งการปลงอายุสังขารขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  
สาวัตถี... เมืองแห่งมหาอุบาสก อุบาสิกา สถานที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานที่สุด 
ราชคฤห์... ดินแดนแห่งการกำเนิดพระสูตร ที่ประชุมสังคายนา เกิดวัดแห่งแรกในพุทธศาสนา  
นาลันทา... มหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่แหล่งศึกษาที่เลี่ยงชื่อ มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก       

รายละเอียดการเดินทาง

วันที่ 1 ::กรุงเทพฯ   เมืองเดลลี   
06.00 น.

คณะผู้เดินทางพร้อมกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 10 แถว W เคาน์เตอร์ สายการบิน AIR INDIA เจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง (แนะนำให้โหลดของที่ไม่จำเป็นลงใต้ท้องเครื่อง เพราะเจ้าหน้าที่อินเดียตรวจค่อนข้างละเอียด เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา แนะนำให้ถือเฉพาะกระเป๋าถือและของมีค่าขึ้นเครื่องเท่านั้นค่ะ)

08.55 น.ออกเดินทางสู่ เมืองเดลลี โดยสายการบิน AIR INDIAN เที่ยวบินที่ AI 333 บนเครื่องมีบริการอาหารค่ะ
12.00 น.ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี เมืองเดลลี (เวลาช้ากว่าประเทศไทย 1:30 ชั่วโมง) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย (อาหารกลางวันตามอัธยาศัยค่ะ)
เที่ยงรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร 
บ่าย

ชม ประตูเมืองอินเดีย เดินไปตามถนนอันใหญ่โต เพื่อชม อนุสาวรีย์ของประเทศอินเดีย แล้วพักผ่อนด้วยการนั่งปิกนิกบนสนามหญ้าเขียวชอุ่ม เยี่ยมชมประตูเมืองอินเดีย อนุสาวรีย์แห่งชาติของอินเดียซึ่งอุทิศให้กับเหล่าทหารผู้เสียสละชีวิต ตื่นตาไปกับการออกแบบสุดอลังการ

ชม การเดินสวนสนามของกองทัพและวงโยธวาทิต พร้อมทั้งสนุกกับการปิกนิกและการเล่นเกมบนสนามหญ้าสีเขียว

ประตูเมืองอินเดีย มีซุ้มโค้งสูง 138 ฟุต (42 เมตร) สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารอินเดียนับหมื่นนายที่เสียชีวิตในการเข้าร่วมกองทัพอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้คุณจะพบการสลักชื่อทหารกว่า 13,000 นายที่เสียชีวิตในสงครามอัฟกันเมื่อปี 1919 ด้วย ด้านล่างซุ้มประตูเป็นแท่น Amar Jawan Jyoti ซึ่งมีเปลวไฟที่จุดไว้ไม่เคยดับเพื่อเป็นการรำลึกถึงทหารที่ไม่รู้ชื่อซึ่งเสียชีวิตในสงครามต่างๆ

ขับรถผ่านชม รัฐสภา ซึ่งเป็นตึกที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรม อังกฤษเพื่อเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรี และเป็นที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ  

ชม วัดในศาสนาซิกข์ "Gurudwara Bangla Sahib”   สำหรับ Gurudwara Bangla Sahib”

วัดในศาสนาซิกข์ "Gurudwara Bangla Sahib” เป็นวัดของชาวซิกข์ตั้งอยู่ในกรุงนิวเดลลี อยู่ใกล้แหล่ง Shopping ย่าน “Connaught Place” และตลาด “Palika Bazaar”  นี่เอง ตามข้อมูลบอกว่าสร้างขึ้นเมื่อปี 1664 บูรณะครั้งแรกในปี 1783 และครั้งล่าสุดเมื่อปี 1947 เดิมวัดซิกข์แห่งนี้เป็นที่พักของ "Raja Jai Singh" นายทหารคนสำคัญในสมัยกษัตริย์ออรังเซป ต่อมาได้ให้ความช่วยเหลือ "Guru Sri Harkishan" ซึ่งถูกใส่ร้ายจากพี่ชาย "Baba Ram Rai" และในระหว่างที่พักที่ Delhi นี้ ท่านได้ให้ความช่วยเหลือประชาชน รักษาผู้คนจนมีชื่อเสียงไปทั่วเมือง 

นำชม วัดอัคชาร์ดาม (ปิดทุกวันจันทร์)

วัดอัคชาร์ดาม สร้างขึ้นโดยองค์กร BAPS ในเดลลีซึ่งผสมผสานลักษณะทางสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของอินเดียเข้าด้วยกันใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 5ปี ใช้ช่างศิลปะและสถาปนิกจำนวน 7,000 คน เป็น สถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง สวยงามน่าดูชมจากทุกมุมมอง ชื่อเต็มว่า สวามินารายัน อัคชาร์ดาม ซึ่งหมายถึง สถานที่พำนักอันเป็นนิรันดรของท่าน Bhagwan สวามินารายัน  (1781-1830) ผู้นำด้านจิตวิญญาด้านวัฒนธรรมอินเดีย ใช้เวลาในการก่อสร้าง 5 ปี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองเดลลี มีพื้นที่ 100 เอเคอร์ วัดอัคชาร์ดาม มีการจัดแสดง เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชนชาติอินเดีย ประวัติของท่านสวามินารายัน ศิลปะประเพณีวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของชนชาติอินเดีย ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และความเชื่อจิตวิญญาณ วัดสวามินารายัน อัคชาร์ดาม ได้รับแรงบันดาลใจโดยสาวกประมุขสวามิมหาราช เพื่อเติมเต็มความหวังของท่านศาสดา วัดอัคชาร์ดามวางศิลากฤษ์เมื่อวันที่ 8  

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหาร 
ที่พักWelcomHotel Dwarka หรือระดับใกล้เคียงกัน
วันที่ 2 ::เมืองเดลลี   เมืองพาราณสี  
เช้า บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 
10.15 น.ออกเดินทางสู่ เมืองพาราณสี โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 406
11.40 น.

ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติเมืองพาราณสี (เวลาอินเดียช้ากว่าไทยประมาณชั่วโมงครึ่ง) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง  

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย

นำ ท่านออกเดินทางสู่ เมืองสารนาท (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง)

นำท่านชม สถูปเจาคันธี ซึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์ที่ปัญจวัคคีย์ได้พบกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก

ชม ธรรมราชิกสถูป เป็นสถูปที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุมาก่อน ชมมูลคันธกุฏี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาแรกและพรรษาที่ 12 

ชม ยสเจดีย์ สถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้กับยสกุลบุตร

นำท่าน สวดมนต์ นั่งสมาธิที่ ธัมเมกขสถูป ป่าอิสิปตนมฤคทายวันสถานที่แสดงปฐมเทศนา ธรรมจักกัปปวัตนสูตรโปรดเบญจวัคคีย์ทั้งห้า  จากนั้นนำคณะถวายผ้าป่า ณ วัดไทยสารนาถ

18.00 น.

นำท่านชม พิธี อารตีบูชา” หรือการ “บูชาไฟ”  ริมฝั่งแม่น้ำคงคา  

อารตี (พิธีบูชาไฟ) ในคัมภีร์ฤคเวทย์ กล่าวถึง การบูชาไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เด่นที่สุด เพื่อขอพรจากพระเป็นเจ้าให้ทรงมอบความสุขและความโชคดีให้แก่ผู้ที่บูชานั้น เครื่องสังเวยที่ใช้ในการบูชาไฟของพราหมณ์ คือ บูชาด้วยอาหารที่หุงต้มแล้ว โดยจัดทำภายในบ้านประกอบด้วย น้ำนม เมล็ดข้าว เนยแข็ง เหล้าโสม (กลั่นจากต้นไม้) ดอกไม้ เป็นต้น เมื่อทำพิธีกรรมให้นำอาหารเหล่านี้ใส่ลงไปในกองไฟ พร้อมสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า บูชาสังเวยไฟด้วยชีวิต เครื่องสังเวยชีวิต เป็นต้นว่าสัตว์ 4 เท้า หรือสัตว์ปีก รวมถึงมนุษย์ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของศาสนาพราหมณ์ในช่วงต้นคริสต์สักราช เรียกในนามศาสนาฮินดู สัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรม เช่น แพะ แกะ ควาย ไก่ นก เป็นต้น โดยการนำเลือดสดๆ ใส่ลงไปในกองไฟที่กำลังลุกไหม้ บูชาสังเวยด้วยน้ำโสม (เหล้าโสมที่กลั่นจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง) การเตรียมสถานที่ทำพิธี พระฮินดูผู้ทำพิธีจะพิจารณาเลือกที่ที่จะก่อไฟศักดิ์สิทธิ์ (เรียกว่า กองกูณฑ์) โดยจะใช้มีดปลายแหลม หรือไม้ ทำการขีดลงบนพื้นดิน 3 ขีด เพื่อเลือกสถานที่หลังจากนั้นก็จะขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสตกแต่งผิวรอบๆ ให้เรียบ 
จากนั้นก็จะนำน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเทราดในนั้นแล้วรอจนแห้งสนิทต่อมาก็เริ่มพิธีกรรมบูชาไฟ ในอินเดียเวลามีการทำพิธีกรรมบูชาไฟ เครื่องสังเวยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ หญ้าคา เชื่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้า จึงต้องนำเอาหญ้าคามาเป็นเครื่องสังเวยด้วย หญ้าคา ในทางศาสนาพราหมณ์มีความเกี่ยวข้องกันคือ อาสนะที่ประทับของพระศิวะบนเขาไกรลาสทำด้วยสิ่งนี้ ชาวฮินดูลัทธิศิวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด จะนำหญ้าคามาเพื่อเป็นเครื่องบูชา

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักGrape Wine Hotel Varanasi หรือระดับใกล้เคียง
วันที่ 3 :: เมืองพาราณสี   ตำบลพุทธคยา
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ตำบลพุทธยา  (เดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง)

พุทธคยา พุทธสถานสำคัญใน อำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง ของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้งสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม 
บ่าย

บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูป ต้องเก็บโทรศัพท์ไว้ในรถเท่านั้น แต่สามารถใช้กล้องถ่ายรูป   

กราบสักการะ พระพุทธเมตตา ในวิหารมหาเจดีย์พุทธคยา

พระพุทธเมตตา พระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัยที่สร้างด้วยหินแกรนิตสีดำในสมัยปาละอายุกว่า 1400 ปี    หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ประดิษฐานภายในเจดีย์พุทธคยา ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 147 เซนติเมตร สูง 165 เซ็นติเมตร  ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งได้รอดพ้นจากการถูกทำลายได้ ในศตวรรตที่ 13 มีกษัตริย์ฮินดูนามว่าพระเจ้าสาสังกา ของรัฐเบงกอล ที่ไม่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นมคธ ซึ่งมีพระเจ้าปุรณวรมา เป็นผู้ปกครองในสมัยนั้น ต้องการประกาศตนเป็นอิสระ จึงได้กรีฑาทัพมาทำลายจุดศูนย์กลางของแคว้นมคธ คือบริเวณดินแดนแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ทันที ด้วยหมายจะทำลายขวัญของกษัตริย์และประชาชนเสียก่อน แล้วจึงค่อยยกทัพไปตีเมืองหลวงในขั้นต่อไป เพราะบริเวณพุทธคยานี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระพุทธเมตตาเป็นหัวใจสำคัญที่ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือกราบไหว้บูชากันมาก ทำให้การขยายตัวทางพระพุทธศาสนาได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น  

 
สักการะ มหาเจดีย์พุทธคยา ที่บูรณะในสมัยพระเจ้าอโศก บริเวณนี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโลกหรือเป็นสะดือของโลก สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

พระมหาเจดีย์พุทธคยา ก่อสร้างด้วยหินทรายสีน้ำตาลนวล มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม จัตุรัสยอด แหลมคล้ายยอดพระเจดีย์ทั่วไป มีความสูงประมาณ 170 ฟุต ฐานวัดโดยรอบได้ 121 เมตร พระเจ้าหุวิชกะ ทรงสร้างต่อมาจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชและมีการซ่อมแซมบูรณะโดยท่านผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเรื่อยมานอกจากนี้ ยังมีองค์เจดีย์เล็กๆ ลดหลั่นกันไปอยู่โดยรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ จึงทำให้พระเจดีย์มีความงามยิ่งขึ้น มีห้องสำหรับปฏิบัติธรรมอยู่ชั้นบน  

   

สักการะ สัตตมหาสถาน ในบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์

สัปดาห์ที่ 1 เสด็จประทับภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน
สัปดาห์ที่ 2 เสด็จประทับ ณ อนิมิสเจดีย์ ทรงยืนจ้องพระเนตรดูต้นมหาโพธิ์โดยมิได้กะพริบพระเนตรตลอด 7 วัน  
สัปดาห์ที่ 3 เสด็จประทับ ณ รัตนจงกรมเจดีย์ ทรงนิมิตจงกรมขึ้น แล้วเสด็จจงกรมอยู่ที่นี้เป็นเวลา 7 วัน
สัปดาห์ที่ 4 เสด็จประทับ ณ รัตนฆรเจดีย์ เสด็จไปทางทิศพายัพ แห่งต้นศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งขัดสมาธิในเรือนแก้วซึ่งเทวดานิรมิตถวาย ทรงพิจารณาพระ อภิธรรมตลอด 7 วัน  
สัปดาห์ที่ 5 เสด็จไปประทับใต้ร่มไม้ไทร โดยมีชื่อว่า อชปาลนิโครธ ซึ่งเป็นที่พักของคนเลี้ยงแกะ ทรงถูกธิดาทั้งสามของพญามารวัสตีใช้กริยาอิตถีสตรียั่วพระพุทธองค์ให้หลง แต่ไม่สำเร็จ พระพุทธองค์ทรงขับไล่ธิดาทั้งสามออกไปเสีย   
สัปดาห์ที่ 6 เสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิภายใต้ร่มไม้จิก โดยมีชื่อว่า มุจลินท์ ทางทิศอาคเนย์แห่งต้นมหาโพธิ์ ตอนนั้นเกิดฝนตกลงมาเป็นเวลา 7 วัน
พญานาคตนหนึ่งมีนามว่า พญามุจลินท์นาคราช เกิดความเลื่อมใสจึงได้แผ่พังพานป้องพระพุทธเจ้าเป็นเวลา 7 วัน เมื่อฝนหยุดตก พญานาคก็ คลายขนดจำแลงกายเป็นมานพ เข้าไปถวายอัญชลีเฉพาะพระพักตร์และจากไป   
สัปดาห์ที่ 7 เสด็จไปประทับภายใต้ร่มไม้เกดโดยมีชื่อว่า ราชายตนะ ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน  
 

นำคณะ ถวายผ้าป่า ณ วัดไทยพุทธภูมิ

นำท่านชม บ้านนางสุชาดาหรือสุชาฏากุฏี  ธิดากฎุมพีแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคมผู้ถวายข้าวมธุปายาสอันประณีตแด่มหาบุรุษก่อนการตรัสรู้

ชมวิวทิวทัศน์ริมฝั่ง แม่น้ำเนรัญชรา บริเวณท่าสุปปติฏฐะ สถานที่พระมหาบุรุษได้อธิษฐานลอยถาดทองริมฝั่งแม่น้ำ

ค่่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักHotel Anand International หรือระดับใกล้เคียง
วันที่ 4 ::ตำบลพุทธคยา บ้านนางสุชาดา  เมืองนาลันทา หลวงพ่อองค์ดำ  เมืองราชคฤห์     ตำบลพุทธคยา
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม  

เดินทางสู่ เมืองนาลันทา (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง)

นำท่านชม มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกเดิมเป็นสวนมะม่างของทุสสปาวริกเศรษฐีได้อุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้าในยุคหลังที่กษัตริย์อินเดียราชวงศ์คุปตะทรงเข้ารับอุปถัมภ์ ชมสถูปปรินิพพานของพระสารีบุตร  นำท่านสักการะ หลวงพ่อองค์ดำ ที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนาลันทา

สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองราชคฤห์ (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) มหานครมหาแห่งแคว้นมคธ จัดว่าเป็นนครใหญ่ 1 ใน 6 นครของอินเดียโบราณ ในหนังสือรามเกียรติ์เรียกเมืองนี้ว่า วสุมาตี  

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม 
บ่าย

นำท่านขึ้น เขาคิชกูฏ (ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 30 นาที) หนึ่งในเบญจคีรี ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

ชม มูลคันธกุฏี สถานที่สำคัญสุดที่ชาวพุทธ เมื่อขึ้นเขาคิชกูฏต้องกำหนดไว้ คือ การไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ณ มูลคันธกุฏี สถานที่ที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า

ชม ถ้ำสุกรขาตา สถานที่ที่พระสารีบุตรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ นมัสการ ถ้ำพระโมคคัลลานะ กุฏีของพระอานนท์ นำท่านชม วัดชีวกัมพวันหรือวัดสวนมะม่วงโรงพยาบาลสงฆ์แห่งแรกของโลกและชมเรือนคุมขังพระเจ้าพิมพิสาร 

จากนั้นนำท่านชม วัดเวฬุวนารามมหาสังฆยิกาวาส วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาเดิมเป็นสวนไม้ไผ่ของพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ถวายเป็นอารามแด่พระพุทธเจ้าและเป็นสถานที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอริยสงฆ์ 1250 องค์ มีสถูปที่บรรจุพระอัฐิธาตุของพระโมคคัลลานะและพระอัญญาโกญฑัญญะ พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่นานในพรรษาที่ 2 – 4

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักHotel Patliputra Continental ***หรือระดับใกล้เคียง เมืองพุทธคยา
วันที่ 5 ::เมืองปัตนะ  เมืองไวสาลี  พระมหาสถูปแห่งเกสริยา   เมืองกุสินารา 
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

นำท่านเดินทางสู่เมือง ไวสาลี (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3  ชั่วโมง) เมืองหลวงของอาณาจักรวัชชี หนึ่งใน 16 แคว้นของชมพูทวีป

เวสาลี หรือ ไวศาลี คือเมืองโบราณในสมัยพุทธกาล มีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของคณะเจ้าลิจฉวี ที่มีปกครองแคว้นวัชชีด้วยระบอบคณาธิปไตยแห่งแรก ๆ ของโลก เมืองนี้เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งในสมัยพุทธกาล เป็นเมืองที่มั่นแห่งสำคัญของพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น โดยพระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยี่ยมเมืองแห่งนี้ในปีที่ 5 หลังการตรัสรู้ ตามการกราบบังคมทูลเชิญจากเจ้าผู้ครองแคว้น และในช่วงหลังพุทธกาล เมืองแห่งนี้ได้ตกเป็นของแคว้นมคธโดยการนำของพระเจ้าอชาตศัตรูพระราชาแห่งเมืองราชคฤห์ และหลังการล่มสลายของราชวงศ์พิมพิสารในเมืองราชคฤห์ พระราชาองค์ต่อมาจึงได้ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธมายังเมืองเวสาลี ทำให้เมืองแห่งนี้เจริญถึงขีดสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองนี้ได้เป็นสถานที่ทำทุติยสังคายนาของพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะเสื่อมความสำคัญและถูกทิ้งร้างลงเมื่อมีการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองปาฏลีบุตรหรือเมืองปัตนะอันเป็นเมืองหลวงของรัฐพิหารในปัจจุบัน ปัจจุบันเมืองเวสาลีเป็นซากโบราณสถานอยู่ที่ตำบลบสาร์ท หรือเบสาร์ท ในจังหวัดไวศาลี ที่เขตติดต่อของอำเภอสดาร์ กับ  ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการจังหวัด เมืองเวสาลี

ชม กูฏาคารศาลาวัดป่ามหาวัน อารามที่กษัตริย์ลิจฉวีสร้างถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ในป่ามหาวันทางเหนือของอาณาจักรวัชชี ในป่าหิมาลัยและพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในพรรษาที่ 5

ชม เสาอโศก ที่มีรูปสิงห์อยู่ในลักษณะนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกที่สมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันเหลือเพียงซากโบราณสถานที่ประกอบไปด้วยสังฆาราม ห้องพัก ห้องประชุม  

ชม ปาวาลเจดีย์ สถานที่พระยามารได้เข้ามากราบทูลขอให้พระองค์เสด็จปรินิพพานสถานที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร

พุทธวาจาในวันปลงอายุสังขาร

“สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ชนเหล่าใดทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า”

ชมมหาสถูปแห่ง เกสปุตตนิคม หรือ พระมหาสถูปแห่งเกสริยา ปัจจุบันเกสปุตตนิคมถูกเรียกเพี้ยนไปเป็นเกสเรียหรือเกสริยา

พระมหาสถูปแห่งเกสริยา เดิมไม่เป็นที่รู้จักและไม่เป็นจุดสำหรับจาริกแสวงบุญของชาวพุทธ แต่หลังจากกองโบราณคดีอินเดียได้ขุดค้นเนินดินใหญ่พบพระมหาสถูปโบราณ ที่มีความเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1,400 ฟุต สูงถึง 51 ฟุต (เดิมอาจสูงถึง 70 ฟุต) ซึ่งทำให้มหาสถูปโบราณที่ค้นพบใหม่นี้กลายเป็นมหาสถูปที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์ชเวดากองและพระมหาสถูปบุโรพุทโธ ซึ่งทำให้มีผู้สันนิษฐานว่า มหาสถูปแห่งเกสริยานี้เป็นต้นแบบของมหาสถูปทั้งสอง และนอกจากนี้ ในบริเวณไม่ไกลจากมหาสถูปแห่งเกสริยานักโบราณคดีอินเดียได้พบเสาหินพระเจ้าอโศกที่สมบูรณ์ที่สุด ที่ยังคงเหลือหัวสิงห์บนยอดเสา เช่นเดียวกับที่เมืองเวสาลีอีกด้วย

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหาร
บ่าย

ออกเดินทางสู่ เมืองกุสินารา (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) นครแห่งมหาปรินิพพาน

เมืองกุสินารา เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นมัลละ 1 ในอาณาจักรแห่งมหาชนบท 16 แคว้นของอินเดียส่วนเหนือ เป็นสถานที่ปรินิพพาน สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ สถานที่แจกพระบรมสารีริกธาตุ เป็นฐานแห่งแสงสว่างทางศรัทธาและปัญญาที่มั่นคง

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักHotel Om Residency star ***หรือระดับใกล้เคียง เมืองกุสินารา  
วันที่ 6 ::เมืองกุสินารา  มหาปรินิพพานสถูป พุทธวิหารปรินิพพาน มกุฏพันธเจดีย์   เมืองลุมพินี 
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม  

นำท่าน กราบสักการะสังเวชนียสถานแห่งสุดท้ายที่ มหาปรินิพพานสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละคู่ เป็นพุทธสถานที่พระพุทธเจ้าประทานการบวชให้สาวกองค์สุดท้าย เป็นที่ตรัสเทศนา ปัจฉิมโอวาทสุดยอดแห่งพระธรรมคำสอนคือความไม่ประมาท ชมพระสถูปปรินิพพาน

นำท่านชม พุทธวิหารปรินิพพาน ซึ่งภายในพระวิหารเป็นปฏิมากรรมพระพุทธปางปรินิพพานเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ที่กำลังเสด็จดับขันธปรินิพพานโดยมีนางมัลลิกา พระอนุรุทธ พระอานนท์อยู่ในภาวะโศรกเศร้า  

ชม สถูปพระอานนท์ ที่สร้างขึ้นบริเวณที่สันนิษฐานว่าพระอานนท์ยืนร้องไห้

ชม พราหมณ์เจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่แจกพระบรมสารีริกธาตุ และกราบสักการะ มกุฏพันธเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ  

นำคณะถวายผ้าป่า ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ 

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม 
บ่าย

นำท่านออกเดินทางสู่ ลุมพินีวัน (ใช้เวลาเดินทาง 4 – 5 ชั่วโมง) ในเขตประเทศเนปาล ผ่านเมืองโครักข์ปูร์ และผ่านเมืองชายแดนโสเนาวลีของอินเดียเข้าสู่ เมืองสิทธารัตถะของเนปาล สถานที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ

ถึง พรมแดนอินเดีย-เนปาล ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเดินทางเข้าสู่เมืองสิทธารัตถะ  

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักHOTEL NEW  CYSTAL  ***หรือระดับใกล้เคียง เมืองลุมพินี
วันที่ 7 ::เมืองลุมพินี  มหาสังฆารามอนุสรณ์ลุมพินี วัดไทยลุมพินี   เมืองสาวัตถี 
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

นำท่านชม มหาสังฆารามอนุสรณ์ สถานที่ประสูติของพระพุทธองค์

นำท่าน สวดมนต์ นั่งสมาธิ ที่สวนลุมพินี

ชม มายาเทวีวิหาร ภายในมีรูปพระนางสิริมหามายาเทวีแกะสลักด้วยหินเป็นรูปพระพุทธมารดายืนประทับเหนี่ยวกิ่งสาละอยู่พร้อมกับพระสนมและข้างหน้าเป็นรูปเจ้าชายสิทธัตถะกุมารกำลังก้าวพระบาทไปบนดอกบัว ชม สระสรงสนานธารโบกขรณี  ชมเสาศิลาจารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราช ปักไว้ตรงที่ประสูติ ของพระสิทธัตถราชกุมาร โดยมีอักษรพรหมีจารึกไว้

ชม วัตถุสถานเสนาสนะสงฆ์และเจดีย์ สถานที่ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้สร้างไว้ เป็นพุทธบูชาตลอดมาไม่ขาดสายตั้งแต่โบราณกาล  

นำคณะถวายผ้าป่า ณ วัดไทยลุมพินี ซึ่งจัดสร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของพุทธบริษัทแห่งประเทศไทย

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม เมืองลุมพินี
บ่าย

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ เมืองสาวัตถี (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง)

เมืองสาวัตถี  ในสมัยพุทธกาล เป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล 1 ใน 16 แคว้น เป็นเมืองที่ใหญ่พอกับเมืองราชคฤห์และพาราณสี เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายและเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับนานที่สุดถึง 25 พรรษา รวมทั้งเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนามั่นคงที่สุด ปัจจุบันเมืองนี้เหลือเพียงซากโบราณสถาน ชมวิถีชีวิตชนบทของประเทศอินเดียระหว่างเดินทาง

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักTHE LOTUS SUTRA HOTEL ***หรือระดับใกล้เคียง เมืองสาวัตถี
วันที่ 8 :: เมืองสาวัตถี วัดเชตวัน กุฎิพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลา พระสิวลี  
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

นำท่านชม วัดเชตวันวิหาร

วัดเชตวันวิหาร เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นวัดที่พระพุทธเจ้ารวมทั้งพระอรหันต์ได้จำพรรษาอยู่นานที่สุดถึง 19 พรรษา สร้างโดยอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีเป็นชาวเมืองสาวัตถีไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์ได้พบพระบรมศาสดาที่สีตะวันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธธรรม เมื่อกลับมาจึงไปขอซื้อป่าไม้ของเจ้าเชตเพื่อสร้างอารามถวาย กล่าวกันว่าต้องขนเงินมาปูพื้นที่ให้เต็มสวนจึงจะซื้อที่ดินมาสร้างวัดถวายแด่พระพุทธเจ้าได้เพราะในสมัยนั้นดินแดนทุกแห่งเป็นของผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์  

นำท่านกราบสักการะ ต้นโพธิ์พระอานนท์ซึ่งถือว่าอายุกว่า 2500 ปีซึ่งเป็นอายุยาวนานที่สุดในโลกร่วมกับต้นโพธิ์ที่เมืองอนุราธปุระประเทศศรีลังกา สักการะมูลคันธกุฏีของพระพุทธเจ้า กุฎิพระโมคคัลลา กุฎิพระสารีบุตร กุฎิพระสิวลี กุฎิพระอานนท์ และสถูปที่บรรจุสารีริกธาตุของพระอรหันต์ ชมบ่อน้ำที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นที่สรงน้ำตลอดระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่

จากนั้นนำท่านชม บ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เศรษฐีองคมนตรีที่ปรึกษาเศรษฐกิจของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชมบ้านปุโรหิตบิดาขององคุลีมา, เนินดินที่พระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์  

นำคณะถวายผ้าป่า ณ วัดไทยเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี 

เที่ยงบริการอาหารกลางวันที่ห้องอาหารของโรงแรม เมืองสาวัตถี
บ่าย

หลังจากนั้นเดินทางสู่ เมืองลัคเนาว์

เมืองลัคเนาว์  เป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย มีประชากรหนาแน่นมาก ประมาณ 2.7 ล้านคน และถือเป็นเมืองสายหลักของชุมนุมทางรถไฟที่จะเชื่อมต่อไปรัฐอื่นๆ อีกมากมาย ลัคเนาว์ยังเป็นสถานที่จุดประกายการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของอินเดียยุคใหม่ นับตั้งแต่การทำข้อตกลงลัคเนาว์ ค.ศ. 1916 (สมัยรัชกาลที่ 7) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างพรรคคองเกรสแห่งชาติ กับพรรคสันนิบาตมุสลิมภายใต้การนำของนายมูฮัมเหม็ด อาลี จินนะห์ เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษยอมผ่อนปรนอำนาจในการปกครองให้แก่ชาวอินเดียมากขึ้น และขบวนการคิลาฟัต ซึ่งเป็นขบวนการที่มุ่งจะริดรอนอิทธิพลของรัฐบาลอังกฤษในอินเดียและปกป้องอาณาจักรออตโตมานภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับมหาตมะ คานธี และนักการเมืองปัญญาชนอื่นๆ หลายท่าน

ค่ำบริการอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พักTULIP INN LUCKNOW ***หรือระดับใกล้เคียง  เมืองลักเนาว์ 
วันที่ 9 ::เมืองลัคเนาว์  เมืองมุมไบ เมืองออรังกาบาด  
เช้าบริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 
11.30 น.

ออกเดินทางสู่ เมืองออรังกาบาด โดยสาย การบินแอร์อินเดีย  เที่ยวบินที่ AI 626  1130 – 1350 C  แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินมุมไบต่อยัง เมืองออรังกาด โดยสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI 442   1455 – 1605 

16.05 น.

เดินทางถึง ท่าอากาศยานเมืองออรังกาบัด อยู่ห่างจากมุมไบ 370 กิโลเมตร ตัวเมืองมีกลิ่นอายของอารยธรรม และอิทธพลมุสลิม อยู่ในรัฐมหาราษฏร ออรังกาบัด หมายถึง สร้างโดยมหาราชา ตั้งชื่อตามมหาราชาออรังเซป เมืองออรังกาบัด เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพราะบริเวณใกล้กับตัวเมืองมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิเช่น ถ้ำอชันตา เอลโลร่า บีบีกามาชค์มาร่า ฯลฯ  

ค่ำรับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม 
ที่พักHotel Vits ***ระดับ 4 ดาว หรือใกล้เคียง 
วันที่ 10 ::เมืองออรังกาบาด  หมู่ถ้ำอชันตา (ถ้ำปิดวันจันทร์)  เมืองออรังกาบัด
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

นำท่านเดินทางสู่ หมู่ถ้ำอชันตา (ถ้ำปิดวันจันทร์) ระยะทางประมาณ 93.6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง

ถึง  ถ้ำอชันต้าหรืออชัณฏา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1983 ชมความงดงามและอลังการของสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยบันดาลใจจากศาสนาพุทธ โดยเจาะเป็นสังฆรามขนาดใหญ่แบบศิลปะคุปตะ และหลังคุปตะอันวิจิตร 

ถ้ำอชันตา ประกอบไปด้วยถ้ำ 28 ถ้ำ มีอายุกว่า 2,000 ปี “ถ้ำอะชันต้า” เป็นพุทธสถานที่สร้างจากการสกัดหน้าผาหินเข้าไปในเขาเหนือแม่น้ำวโฆระ แต่เดิมเป็นศูนย์กลางสำนักปฏิบัติของเหล่าสงฆ์ในพุทธศาสนาราวพุทธศตวรรษที่ 7-13 สืบเนื่องนานกว่า 600 ปี ก่อนถูกทอดทิ้งให้รกร้างกลางป่าจึงรอดพ้นจากการทำลายล้างจากกองทัพผู้รุกรานจนมาถูกค้นพบอีกครั้งโดยบังเอิญจากนายทหารอังกฤษในศตวรรษที่ 19

ภายในถ้ำท่านจะได้ชมงานแกะสลักเสาอันงดงามและวิจิตรบรรจงรวมถึงพระพุทธรูปและเจดีย์ศิลาที่สกัดและตกแต่งขึ้นจากหินเนื้อเดียวกันกับพื้นผนังถ้ำยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 1,200 ปี มีความงดงามสมบูรณ์ด้วยเทคนิคการเขียนภาพสามมิติ ภาพสีเฟรสโก้อันน่าอัศจรรย์พระพุทธรูปศิลา ที่แสดงอารมณ์พระพักตร์ต่างกันเมื่อแสงตกสะท้อนจากต่างมุมถ้ำอชันตาเป็นถ้ำที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบพุทธและฮินดูเข้าด้วยกันมี

เที่ยงรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารพื้นเมือง 
บ่าย

นำท่านเดินทางกลับสู่ เมืองออรังกาบัด ระหว่างทางชมวิวทิวทัศน์ของดินแดนชนบททางอินเดียตอนใต้ ระหว่างทางแวะชม บีบี กา มักบารา (BibiKaMaqbara) หรือ ทัชมาฮาลน้อย เพราะมีลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายทัชมาฮาล สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก โดยพระโอรสของออรังเซบ ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึงพระมารดา (พระนาง บีกัมราเบีย อุเด ดาราณี)

จากนั้นนำท่านชม วัดพุทธ แห่งเมืองออลังกาบัดที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาออลังกาบัด เป็นวัดพุทธที่บริหารงานและจัดตั้งโดยชาวอินเดียเองซึ่งน่าสนใจและมีเสน่ห์ที่แตกต่างจากวัดนานาชาติตามแหล่งสังเวชนียสถาน 4 ตำบล

แวะให้ท่านได้ช้อปปิ้ง ซื้อของที่ระลึกตามอัธยาศัย  ได้แก่ เครื่องทองเหลือง  ผ้าปักลายโบราณ ที่จำลองมาจากผนังถ้ำ อายุ 1,200 ปี   และเครื่องประดับลวดลายแปลกตา  พร้อมชมวิวทิวทัศน์ ของดินแดนชนบททางอินเดียตอนใต้

จากนั้นนำท่านเที่ยวชมตัวเมืองออรังกาบัดในยามเย็น

ค่ำรับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม 
ที่พักพักโรงแรม   Hotel Vits ***ระดับ 4 ดาว หรือใกล้เคียง 
วันที่ 11 ::เมืองออรังกาบาด  หมู่ถ้ำเอลโลร่า  เมืองออรังกาบาด เมืองมุมไบ 
เช้า

บริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ หมู่ถ้ำเอลโลร่า (ถ้ำปิดวันอังคาร) (ระยะทางประมาณ 28.1 กม. ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 30 นาที)

ชม หมู่ถ้ำเอลโลร่า ซึ่งประกอบไปด้วยงานศิลป์ของสามศาสนาที่อยู่รวมกัน ชมความงามที่ ยิ่งใหญ่ของถ้ำ 34 ถ้ำ ถ้ำหมายเลข 1-12 เป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนา ถ้ำหมายเลข 14-16 เป็นเทวาลัยถ้ำในศาสนาฮินดู ถ้ำ 30-32 เป็นวิหารถ้ำในศาสนาเชน ชมเพชรน้ำเอกของงานแกะสลักภูเขาทั้งลูกที่บอกเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ในบรรดาหมู่ถ้ำทั้งหมด เทวาลัยถ้ำเขาไกลาสถือเป็นมงกุฎแห่งหมู่ถ้ำเอลโลร่าบน ระเบียงถ้ำมีการสลักเรื่องราวเกี่ยวกับพระศิวะ ภาพการต่อสู้กับท้าวราวณะ ชมภาพแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ของเหล่าทวยเทพ เทวดา นางอัปสร พระพุทธรูป จนไม่สามารถหาคำบรรยายความงดงามนี้ได้ สร้างประมาณ ศตวรรษที่ 5 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1983

เที่ยงรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารพื้นเมือง    
บ่ายนำท่านสู่เดินทางกลับสู่ เมืองออรังกาบัด ระหว่างทางชมวิวทิวทัศน์ของดินแดนชนบททางอินเดียตอนใต้
16.00 น.รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม  หลังจากนั้น นำท่านเดินทางสู่ สนามบินเมืองออรังกาบัด
20.40 น.ออกเดินทางสู่ เมืองมุมไบ โดยสายการบิน AIR INDIA  เที่ยวบินที่ AI 442
วันที่ 12 ::เมืองมุมไบ กรุงเทพฯ 
01.45 น.ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน AIR INDIA   เที่ยวบินที่  AI 330 
07.20 น.ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ

เงื่อนไขในการจอง

  • ตั๋วโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดเส้นทางตามเส้นทางที่ระบุในโปรแกรม
  • ค่าภาษีสนามบิน ค่าประกันสายการบินและภาษีน้ำมันของสายการบิน ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2561 
  • ค่าโรงแรมที่พัก ตามที่ระบุในรายการหรือเทียบเท่า 2 ท่านต่อหนึ่งห้อง
  • ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามรายการระบุ
  • ค่าอาหารทุกมื้อตามรายการที่ระบุ
  • ค่ารถรับส่งและระหว่างการนำเที่ยวตามรายการระบุ
  • ค่าวีซ่าเข้าประเทศอินเดียและประเทศเนปาล 
  • หัวหน้าทัวร์จากเมืองไทยและมัคคุเทศก์ ผู้ชำนาญโปรแกรมดูแลท่านตลอดทริป
  • ค่าประกันอุบัติเหตุคุ้มครองในวงเงินท่านละ 1,000,000 บาท
  • น้ำดื่มวันละ 2 ขวด /ท่าน/วัน
  • พระวิทยากรในเส้นทางแสวงบุญ
  • ค่าทิปไกด์ท้องถิ่น พนักงานขับรถ  รวม 50 เหรียญดอลล่าสหรัฐต่อท่าน 
  • ค่าทิปหัวหน้าทัวร์รวม  500  บาท ต่อท่าน 
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการ
  • ค่าธรรมเนียมน้ำมันของสายการบิน (ถ้ามี) 
  • ค่าทำเอกสารผู้ถือต่างด้าว
  • ค่าวีซ่าที่มีค่าธรรมเนียมแพงกว่าหนังสือเดินทางไทย
  • ค่าน้ำหนักเกินพิกัด 20 กิโลกรัม ต่อท่าน
  • ค่าบริการไม่รวมภาษี 7 %  และภาษี หัก ณ ที่จ่าย 3 %
  • ทางบริษัทฯ ขอเก็บเงินค่ามัดจำเป็นจำนวนเงิน 20,000.- บาท ต่อผู้โดยสารหนึ่งท่าน 
  • ส่วนที่เหลือชำระก่อนการเดินทางอย่างน้อย 21 วัน มิฉะนั้นทางบริษัทฯ จะขอสงวนสิทธิ์ในการคืนค่ามัดจำทั้งหมด
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30 วัน คืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นกรุ๊ปที่เดินทางช่วงวันหยุดหรือเทศกาลที่ต้องการันตี มัดจำกับทางสายการบินหรือกรุ๊ปที่มีการการันตีค่ามัดจำที่พัก โดยตรงหรือโดยการผ่านตัวแทนในประเทศหรือต่างประเทศและไม่อาจขอคืนเงินได้) 
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 15 วัน เก็บค่าใช้จ่าย 5,000 บาท
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 1-15 วัน เก็บค่าบริการทั้งหมด 100 %
  • บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงโปรแกรม ราคา และเงื่อนไขทั้งหมดโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • บริษัทฯ มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการในทัวร์นี้ เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่อาจแก้ไขได้
  • รายการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เนื่องจากความล่าช้าของสายการบินเหตุการณ์ทางการเมือง และภัยธรรมชาติ ฯลฯ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทางบริษัทฯโดยจะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เดินทางเป็นสำคัญ
  • บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบในกรณีที่กองตรวจคนเข้าเมือง ห้ามผู้เดินทางเข้าประเทศเนื่องจากมีสิ่งของห้ามนำเข้าประเทศ เอกสารเดินทางไม่ถูกต้องหรือความประพฤติส่อไปในทางเสื่อมเสียหรือด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามที่กองตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาแล้ว ทางบริษัทฯ ไม่อาจคืนเงินให้ท่านได้ ไม่ว่าจำนวนทั้งหมด หรือ บางส่วน
  • รายการนี้เป็นเพียงข้อเสนอที่ต้องได้รับการยืนยันจากบริษัทฯ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้สำรองที่นั่งบนเครื่อง และโรงแรมที่พักในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตามรายการนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
  • บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบในกรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย งดออกเอกสารเข้าเมืองให้กับชาวต่างชาติหรือ คนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในประเทศไทย
  • บริษัทขอสงวนสิทธิ์ราคานี้สำหรับมีผู้ร่วมคณะเดินทาง 15 - 20 ท่าน เท่านั้น 
  • การไม่รับประทานอาหารบางมื้อไม่เที่ยวตามรายการ ไม่สามารถขอหักค่าบริการคืนได้เพราะการชำระค่าทัวร์เป็นไปในลักษณะเหมาจ่าย  
  1. หนังสือเดินทางที่มีอายุงานเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน (ในกรณีลูกค้าเคยเดินทางเข้าอินเดียแล้ว ให้แนบวีซ่าตัวเก่ามาด้วยค่ะ)
  2. รูปถ่ายขนาด 2x2 นิ้วแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเท่านั้น พื้นหลังสีขาวเท่านั้น จำนวน 3 รูป(ความกว้างและความยาวของรูปภาพ ด้านละ 2 นิ้ว) หากท่านส่งรูปมาไม่ถูกต้องตามที่บริษัทฯแจ้งไว้ทางบริษัทฯขอเรียกเก็บค่าทำรูปท่านละ 350 บาทเนื่องจากบริษัทฯต้องดำเนินการทำรูปด่วนให้ท่านใหม่เพื่อให้ทันต่อการยืนขอวีซ่า 
  3. สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
  4. สำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด
  5. สำเนาหนังสือเดินทาง 2 ชุด
  6. สำเนาวีซ่าอินเดีย ตัวล่าสุด ในกรณีลูกค้าเคยเดินทางเข้าอินเดียแล้วค่ะ
  7. กรอกแบบฟอร์มข้อมูลวีซ่าอินเดียทางบริษัทฯจะดำเนินการส่งให้อีกครั้ง

Address

53/286 Soi Nawamin 105, Nawamin Road, Nawamin, Bueng Kum, Bangkok 10240

จันทร์ - ศุกร์ : 09.00 - 18.00 น.

Contact Us

Hotline : 081-873-6566099-191-9288 

Social Network

Facebook : @DoubleEnjoyTravel
Line : @DoubleEnjoy
Instagram : @DoubleEnjoy
Youtube : Double Enjoy Travel

 

Add line DoubleEnjoy